วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2550

“เพลงเพื่อชีวิต”

“เพลงเพื่อชีวิต” เป็นบทเพลงที่อยู่คู่การชุมนุมเรียกร้อง...
แม้ปัจจุบัน “เพลงเพื่อชีวิต” จะเป็นรูปแบบบทเพลงพาณิชย์ แต่ยามใดที่บ้านเมืองเกิดเวที “ประท้วง-เรียกร้อง” ครั้งใหญ่ ๆ สำคัญ ๆ เพลงเพื่อชีวิตก็จะหวนขึ้นเวทีอีกครั้งด้วยกลิ่งอายแบบเดิมๆ
เมื่อก่อนเพลงเพื่อชีวิตส่วนใหญ่จะถูกมองว่าเป็นเพลงของคอมมิวนิสต์ เพราะมีเนื้อหาสะท้อนเกี่ยวกับชีวิต-เสียดสีสังคม แต่ในปัจจุบันก็เปลี่ยนไปตามสภาพความเป็นไปของสังคม แต่ยังคงความหมายของเพลงเพื่อชีวิตไว้
หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 เพลงเพื่อชีวิตมีบทบาทค่อนข้างสูง ที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
วงหงา คาราวาน เป็นกลุ่มศิลปินกลุ่มแรกๆ ที่ร่วมกันแต่งเพลงเพื่อระดม และปลุกใจให้แก่ผู้ชุมชุนประท้วง และในปัจจุบันกลุ่มศิลปินที่รู้จักกันดีว่าเป็นเจ้าพ่อแห่งเพลงเพื่อชีวิตคือ วงคาราบาวนั้นเอง เช่น เพลงสามัคคีประเทศไทย เมดอินไทยแลนด์ เรฟูจี เป็นต้น
“คราวผู้คนบนพื้นดินเดิม...ปากหมอง
ไยไม่มองไม่เคยเหลียวแลเห็นแก่ตัว
กิน...มีเหลือเผื่อแผ่กันวันนั้น
วันนี้คงไม่ต้องล่องเรือ”

เพลงเพื่อชีวิตถือว่าเป็นเพลงที่สะท้อนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมได้มาก ไม่ว่าจะเป็นการสะท้อนถึงปัญหาของชาติ อุดมการณ์ รวมไปถึงเพลงที่มีความหวัง ความศรัทธา เราจะเห็นแนวเพลงประมาณนี้บ่อยบทเวทีชุมชุนประท้วง
จากบทเพลง “ประท้วง” สู่บทเพลงแห่ง “อุดมการณ์” แล้วกลายเป็นเพลง “สะท้อนสังคม” เปลี่ยนไปตามกระแสสังคม การเมือง และความเปลี่ยนแปลงทางสภาพเศรษฐกิจ
ทำให้ในยุคหลังๆ เมื่อเกิดการการชุมนุมประท้วง เราก็จะได้ยินบทเพลงเพื่อชีวิตขึ้นที่นั้น มีการชุมนุมประท้วงก็จะเกิดบทเพลงใหม่ๆ ขึ้นด้วย ทำให้เพลงเพื่อชีวิตมีผู้คนฟังอย่างล้นหลามไม่แพ้เพลงแนวกระแสนิยมอื่นๆ

“เพลงเพื่อชีวิต เพื่ออุดมการณ์ เพื่อเสรีภาพและความหวัง”

คุณลำไยโกอินเตอร์

ยังจำไม่เคยลืมเลือน คอยเตือนตัวเองเอาไว้ ที่เธอเรียกฉันลำไย…
เพลงคุณลำไย เป็นอีกเพลงหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางความคิด โดยยึดติดกับค่านิยมตะวันตก ซึ่งหลายๆ คนคงคุ้นเคยกับเพลงนี้มากพอสมควร คงจะไม่ต้องให้ผู้เขียนร้องเพลงให้ฟังหรอกนะคะ
เพลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมหลายอย่าง เช่นการตั้งชื่อ หรือการเลือกซื้อของต่างๆ จะต้องเป็นของมียี่ห้อ ถึงจะเข้ากับยุดสมัยในขณะนี้ อย่างตอนที่เนื้อเพลงว่า
“น้องกิฟท์เชอร์รี่น้องวาย มีตั้งมากหลาย ไม่ยอมเรียกกัน
หรือเรียกว่าน้องแอนน้องอัน น้องโบว์น้องฮันน้องฝันก็ยังดี น้องเมล์ชื่อเท่ห์จะตาย
ก็แล้วทำไมไม่เรียกกันล่ะนี้ น้องแพร์น้องพิมน้องเฟิร์น”
จากอิทธิพลของชาวตะวันตกในเรื่องของชื่อ ทำให้คนไทยหลายๆ คนหันมาตั้งชื่อลูกให้คล้ายกับชื่อฝรั่งกันทั่งบ้านทั่งเมือง จากเมื่อก่อนชื่อว่า อีเขียว ไอ้แดง บักดำ ไม่ค่อยได้ยินกันแล้วทำให้ชื่อเหล่านี้หายไปกลายเป็นชื่อแบบฝรั่งไปเสียหมด คนไทยใช้คำเหล่านี้จนคิดว่าเป็นภาษาดั้งเดิมของตน น่าเสียใจแทนพ่อขุนรามคำแหงที่คิดค้นภาษาให้กับคนไทย และบรรพบุรุษที่ต่อสู้เพื่อปกป้องชาติไทยแม้จะแลกด้วยชีวิตก็ตาม แต่ลูกหลานกับไปเป็นพวกของฝรั่งเสียได้ ชื่อที่พ่อกับแม่ตั้งให้ ก็ไปเปลี่ยนเป็น เชอร์รี่ น้องแอน น้องวาย ดังที่เห็นกันในเนื้อเพลงของคุณลำไยนั้นเอง
ไม่ว่าจะเป็นการตั้งชื่อ หรือชื่อเรียกของเด็กไทยสมัยนี้ การใช้ของมียี่ห้อก็เป็นอีกค่านิยมหนึ่งที่คนในสังคมปัจจุบันกำลังหลงใหลกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า เสื้อผ้า ร้องเท้า กางเกง หรือเครื่องประดับ ที่มียี่ห้อทั้งหลาย อย่างเช่น หลุย วิกตรอง, พลาด้า, คริสเตียนดิออร์ และอีกมากมายหลายยี่ห้อที่เป็นแบรนด์มาจากต่างประเทศ ลองคิดดูว่าเราต้องสูญเสียเงินทองไปมากเท่าใด เพื่อแลกกับการได้สิ่งเหล่านั้นมา เราจะต้องขายข้าวหอมมะลิสักกี่กระสอบถึงได้กระเป๋ายี่ห้อหลุย วิกตรอง มาถือสักใบหนึ่ง เหมือนทอนหนึ่งของเพลงคุณลำไยว่าไว้ว่า

“เส้นผมยังทำไฮไลต์ กระเป๋าก็ค๊อกโคไดร์
กางเกงก็ยีนส์ลีวายส์ จะเรียกลำใย คิดดูให้ดี”
“เราจะคิดดูให้ดี หรือคิดซื้อให้ดีก็แล้วแต่วิจารญาณของผู้อ่านแล้วนะคะ
โปรดระวังของปลอมด้วยก็แล้วกัน”
และในปัจจุบันนี้ยังนิยมเสริมสิ่งต่างๆ เพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้นมาจากเดิม เช่น จมูกไม่โด่งก็ไปเสริมให้โด่ง หน้าอกแบนเหมือนไข่ดาวก็ไปทำให้ใหญ่ขึ้น จะเห็นตัวอย่างจากดาราหลายๆ ท่านที่นิยมไปเสริมกันมากมายในขณะนี้
จะเห็นว่าคนเราทุกวันนี้ชอบอยู่กับการลวงหลอกหรือหลอกลวงกันไร? ใส่หน้ากากเข้าหากันยังไม่พอ ยังดูไม่ออกอีกว่าสวยจากธรรมชาติหรือสวยด้วยมือแพทย์ เหมือนคุณลำไย

“เธอหรือจะมี แฟนที่หุ่นดีอย่างฉัน ทรวดทรงนี้
ลูกครึ่งแบบมะริกัน เปลี่ยนสไตล์ทุกวัน
นำแฟชั่น ที่ทันสมัย .จมูกดูสันเป็นคม”

จากจุดนี้ทำให้ผู้เขียนมองว่าเพลงก็สามารถสะท้อนสังคมในขณะนั้นได้ และไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย

“ลืมอย่างอื่นได้ แต่อย่างลืมความเป็นตัวเอง”

ขอนไม้กับเรือ

ถ้าถามถึงเพลงฮิตติดหูอยู่ในขณะนี้คงหนีไม่พ้นเพลง “ขอนไม้กับเรือ” ร้องโดย บ่าววี แต่เพลงนี้ บิว กัลยาณี นำมาร้องแก้คือเพลง “เพียงเราสอง”
ทั้งสองเพลงนี้มีความหมายว่าความรักที่ยอมเสียสละให้กับหญิงที่ตนรักได้มีความสุขและสุขสบาย เพราะว่าตนเองนั้นไม่ได้มีฐานะมากนัก จึงเปรียบตัวเองเป็นขอนไม้ แต่ผู้ชายคนนั้นเป็นเรือที่มีความมั่งคงมากกว่าขอนไม้ แต่บิว กัลยาณี ในฐานะที่เป็นตัวแทนของผู้หญิง จึงออกมาตอบเจ้าขอนไม้ที่เธอรักว่า “ถึงแม้จะเป็นขอนไม้ น้องก็จะรักขอนไม้นั้น” เหมือนเนื้อร้องในเพลงที่ว่า

“ต่อให้เรือลำใหญ่แล่นมา ให้ผ่านเลยไปไม่เอ่ยคำขอร้องใคร
เปรียบกับพี่เป็นแค่ขอนไม้ จะไม่แลมองเรือลำไหน
โอบกอดไว้แม้คลื่นลูกใหญ่ซัดมา
เปรียบกับพี่เป็นแค่ขอนไม้ สุดแต่ลมแต่ฝนแต่ฟ้า
โปรดเมตตาสองเราไม่อยากพรากกัน”

ความรักแบบนี้เป็นความรักที่น่าประทับใจผู้เขียนยิ่งนัก จะมีสักกี่คนที่เป็นแบบคู่นี้บ้าง เห็นแต่อยู่กันไม่ได้ก็ไปหาคู่ใหม่ไปเรื่อยๆ ความรักแบบนี้อาจจะมีอยู่แต่น้อยมากในสังคมปัจจุบันนี้ที่ให้อิสระมากสำหรับเรื่องของความรัก
ผู้เขียนคิดว่าความรักแบบนี้น่าจะเป็นความรักในอุดมคติเสียมากกว่า เพราะถ้าสังคมของเราคิดแบบนี้บ้างก็คงจะไม่มีใครด้นรนอยากจะเป็นเมียเช่าของฝรั่งกัน เห็นไหมเดินไปแห่งหนตำบลไหนก็มีฝรั่งตาน้ำข้าวกันเกือบทุกที่ เพราะอะไรที่นิยมนั้นหรือ ก็เพราะว่าเห็นคนที่ได้ผัวฝรั่งแล้วมีบ้านหลังใหญ่ มีรถขับ มีทองใส่เต็มคอ ก็อยากจะมีบ้างพอผัวให้ไม่ได้อย่างนั้น เอะอะอะไรก็จะไปหาผัวฝรั่งกันหมด
เนื่องด้วยความที่ไม่อยากลำบาก ไม่อยากกัดก้อนเกลือกินอีกแล้ว จึงไปหาสิ่งที่ดีกว่า ซึ่งผิดกับหญิงสาวคนนี้ที่เลือกจะอยู่กับคนที่ตนเองรัก แม้ว่าคนที่ตนรักจะเป็นเพียงขอนไม้ก็ตามที
เพราะด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างที่ทำให้หลายคนเลือกปากท้องมากกว่าความรัก เลือกที่จะลงเรือมากกว่าลอยไปกับขอนไม้

“เปรียบกับพี่เป็นแค่ขอนไม้ ต่อให้รักเจ้ามากพียงไหน
ผุพังไป พึ่งพาก็ได้ไม่นาน”
ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ข้าวยากหมากแพงขึ้นทุกวัน ทำให้คนเราเลือกอยู่กับความสุขสบายและความมั่งคงมากกว่า และพ่อแม่เองก็คงไม่อยากเห็นลูกลำบาก จึงให้ลูกนั้นเลือกผู้ชายที่มีความมั่งคงมากกว่าที่จะมากัดก้อนเกลือกิน มันหมดยุคสมันนั้นไปแล้ว

“โดดเดี่ยวเดียวดายในท้องเล ลมพัดลมเพลอยมาไกล
เป็นแค่ขอนไม้ไม่มีทิศทาง”

สองเพลงนี้ตอบโจทย์ของคนรักกันได้อย่างลึกซึ้ง แต่มันผิดกับการปฏิบัติของคนในสมัยนี้ คงไม่มีใครจะมาทนนั่งกัดก้อนเกลือกินแล้ว ถึงมีก็อยู่กันไม่นานก็เลิกลากันไป ลูกที่เกิดมากก็เป็นเด็กกำพร้า เป็นภาระของสังคมต่อไป ถ้ามองให้ลึกๆ แล้ว มันเป็นปัญหาลูกโซกันไปหมด ทางที่ดีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็รักก็สามัคคีกันหน่อย จะได้พาประเทศก้าวหน้าไป ประชาชนในสังคมจะได้อยู่อย่างสุขสบายเสียที

จะได้อยู่กับขอนไม้ที่ตนรักมากกว่าอยู่กับเรือที่ไม่มีความรัก

“ผู้หญิง”

ใครว่าผู้หญิงอ่อนแอ ใครว่าผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง คำเหล่านี้คงใช้ไม่ได้กับผู้หญิงสมัยนี้ เพราะอะไร ก็เพราะว่าผู้หญิงได้รับการยอมรับจากสังคม สามารถทำอะไรแทนหรือเทียบเท่าผู้ชายได้ จะเห็นได้จากการที่ผู้หญิงหลายๆ คนในสังคม เช่น คุณสุดารัตน์ คุณหญิงระเบียบรัตน ที่เป็นหลักฐานหรือข้อยืนยังให้สังคมได้รู้ว่าผู้หญิงทำได้มากกว่าที่คุณคิด
คงจะหมดสมัยที่จะให้ผู้หญิงจะอยู่กับหย่า เฝ้ากับเรือนไปเสียแล้ว เพราะผู้หญิงเองก็ออกมาทำงานนอกบ้านเป็นส่วนใหญ่ เพราะผู้หญิงมีความรู้ และฉลาดขึ้น สามารถทำสิ่งใดด้วยตัวเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งผู้ชาย เช่น ซ่อมรถเองได้ ต่อไฟเองได้ เป็นต้น
เมื่อเทียบกับสมัยก่อนที่ผู้หญิงไม่สามารถมีสิทธิมีเสียงเท่าผู้ชาย เพราะสมัยก่อนผู้หญิงไม่ได้เรียนหนังสือ มีแต่อยู่กับบ้านเฉยๆ ทำให้ไม่มีความรู้ที่จะไปแสดงหรือมีบทบาทในสังคมได้ จะเห็นได้ว่าสมัยก่อนนั้นผู้หญิงถูกจำกัดสิทธิจากผู้ชาย แต่ทุกวันนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ผู้หญิงสามารถทำอะไรได้เหมือนผู้ชาย เพราะผู้หญิงได้เข้ามามีบทบาทในสังคม สามารถออกมาปกป้องสิทธิของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการที่ของใช้นามสกุลตัวเองหลังแต่งงาน การขอฟ้องหย่าเมื่อผู้ชายทำผิดต่อภรรยาของตน
จากที่ผู้เขียนกล่าวมา ทำให้รู้ว่าผู้หญิงนั้นเข็มแข็ง และเด็ดเดียวมาก ถ้าย้อยกลับไปเมื่อ 30 ปีก่อน ผู้หญิงคงทำอะไรไม่ได้มากเท่านี้ มีแต่ก้มหน้ายอมรับในสิ่งที่สังคมอยากให้เป็น โดยการควบคุมของผู้ชาย และอาจจะติดคำโบราณหรือประเพณีที่สั่งสอนมา ที่มักจะสอนให้ผู้หญิงเชื่อผัว ฟังผัว (ผู้เขียนขออภัยที่ใช้คำไม่สุภาพ) ทำไมผู้หญิงสมัยก่อนไม่กล้ามีปากมีเสียง ไม่กล้ามาเรียนร้องสิทธิที่ตนพึ่งมีและพึ่งได้ ทำให้ผู้หญิงหลายๆ คนถูกกดขี่ข่มเหงอยู่ตลอดเวลา
ผู้หญิงก็เป็นได้มากกว่าที่คุณคิด อย่างที่ผู้เขียนได้กล่าวมาข้างต้นนี้ เพราะผู้หญิงสามารถมีทั้งความอ่อนโยนและเข็มแข็งได้คนคนเดียวกันได้ นอกบ้านดูเข็มแข็ง ทำงานเก่ง พอกลับเข้ามาในบ้านก็ดูแลบ้าน ดูแลสามีและลูก คุณไม่จำเป็นต้องมองใครไกล ลองมองแม่ของคุณดูสิ
ทำให้ทุกวันนี้มีนักร้องหลายคนที่เป็นตัวแทนของหญิงแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นปาน,พั้นช์ วรกาญจน์, นัท มีเรีย เป็นต้น ที่เนื้อหาของเพลงส่วนใหญ่จะบอกให้ผู้หญิงนั้นเข็มแข็ง ต่อสู้ และไม่ยอมแพ้ ผู้เขียนขอยกตัวอย่างเพลง “แปลว่ายังหายใจ” ของพั้นช์ ตอนหนึ่งว่า

“ขาดเขาแต่เราก็ต้องอยู่
ถึงแม้ว่าเขาไม่รับไม่รู้ก็ช่างเขา
แค่คนไม่รักจริง ทิ้งกันลงใช่รึป่าว
แล้วจะแคร์แต่เขาไปทำไม
ไม่เห็นต้องโทษตัวเอง ไม่มีใครสมน้ำหน้า
วันนี้แค่เสียน้ำตา เดี๋ยวไม่ช้าก็หาย
อย่างน้อยที่เรายังเจ็บ แปลว่าเรายังหายใจ
ยังมีวันเริ่มต้นใหม่ได้ทุกวัน”

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2550

หลุมดำ (Black Hole)

หลุมดำคือ หลุมในอวกาศที่เป็นหลุมสุสานของทุกๆ สิ่งที่หลงเข้าไปใกล้รัศมีแรงโน้มถ่วงของมัน ไม่มีสิ่งไหนนักวาลที่จะหนีแรงดึงดูดมหาศาลของมันได้แม้แต่แสงสว่าง
หรือบางคนอาจจำกัดความของ “หลุมดำ” คือ แหล่งพลังงานและจุดเชื่อมต่อของกาลเวลากับห้วงอากาศ
นั้นเป็นความหมายทางวิทยาศาสตร์ แต่หลุมดำในความหมายของผู้เขียนแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย หากแต่หลุมดำในความหมายของผู้เขียนนั้น หมายความว่า “อันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมือ” ก็เหมือนกับคุณพลาดเดินตกท่อระบายน้ำที่ลืมปิดฝาไว้ หรือเดินตกหลุมที่เต็มไปด้วยโคนนั้นเอง ถ้าคุณโชคดีก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก แต่ถ้าคุณเกิดโชคไม่ดีขึ้นมาแล้วละก็......คุณอาจจะไม่มีลมหายใจต่อไปเลยก็เป็นได้
ผู้เขียนเองก็เคยตกหลุมดำนั้นมาก่อนหลายครั้ง แต่ด้วยความโชคดีทำให้ผู้เขียนไม่ได้รับบาดเจ็บสักเท่าไร สามารถเอาชีวิตรอดมาได้กว่ายี่สิบปี
หลุมดำนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมือ ไม่รู้ว่าเมื่อไรเราจะเดินตกหลุมดำนั้นอีก เพราะหลุมดำอยู่ทุกหนทุกแห่ง ตั้งแต่เดินก้าวออกจากประตูหน้าบ้าน หรือมันอาจจะรอคุณอยู่ที่หน้าประตูบ้านเลยก็เป็นได้
ทุกวันนี้หลุมดำมีมากมายเหมือนกับท่อระบายน้ำที่มีอยู่ทุกที่ในบ้านเมืองเรา พร้อมที่จะให้ทุกคนที่ใช้ชีวิตอย่างไม่ระมัดระวัง ตกลงไปในหลุมดำนั้น
หากคุณยังใช้ชีวิตอยู่สนุกสนานอย่างที่เป็นอยู่ ไม่คำนึงถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ทุกเมือ คุณอาจไม่โชคดีเหมือนคนอื่นๆ ที่สามารถขึ้นมาจากหลุมดำนั้นได้อย่างปลอดภัย ถ้าตัวคุณไม่ได้

โชคดีเช่นนั้น หลุมดำก็จะพรากคุณไปจากคนที่คุณรัก ครอบครัวที่อบอุ่น ความตาย หรือ ความสูญเสี ย จะมาเยือนยังคนที่คุณรักอย่างอย่างแน่นอน


“หลุมดำอยู่ทุกหนทุกแห่ง จงใช้ชีวิตอย่างมีสติ”

ความสุขกับความรัก

ทำไมฉันไม่เคยมีความสุขเรื่องความรักเสียที ?
คำถามนี้ฉันไม่เคยตอบกับใครเลยสักคน แม้แต่หมอดูก็ให้คำตอบเรื่องนี้แบบตรงๆ ไม่ได้ คำถามนั้นมีสองเนื้อความ นั่นคือ ความสุข และ ความรัก หรืออาจมองว่าความสุขต้องเกิดจากความรัก ผู้เขียนตีความคำถามเอาไว้อย่างนั้นจึงเลี่ยงที่จะไม่ตอบ แต่ถามกลับว่า
ทุกวันนี้มีความสุขดีไหม ?
ผู้ถามตอบว่า มี ผู้เขียนถามกลับอีกทีว่า แล้วจะเอาความรักไปอีกทำไม ?
คนที่มีชีวิตแต่ละวันเดินตรงไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างเข้มแข็งมั่นคง ตัดสินใจด้วยความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ร้องไห้ด้วยความเสียใจของตนเอง ผู้เขียนถือว่าคนเหล่านี้เป็นคนที่มีความสุขดีอยู่แล้ว เพียงแต่เราไม่เคยสังเกตตัวเองกันเลยว่า จริงๆ แล้วเราต้องการความรักจากใครบางคนจริงหรือเปล่า
ส่วนใหญ่พอช่วงวัยหนึ่งหัวใจก็เริ่มเหงา อยากมีคนรักเหมือนคนอื่นบ้าง ความปรารถนาเช่นนั้นมีดีกรีมากน้อยไม่เท่ากัน บางคนมีมากจนเหมาเอาว่าเพื่อนใกล้ตัวที่คุยกันรู้เรื่องคือของๆ ตนเอง พอวันที่เพื่อนไม่ได้เป็นคนรักของตนอย่างที่คิด จึงต้องฟูมฟายแล้วเอาแต่คิดว่าตนเองเป็นคนอ่อนแอไม่เข้มแข็ง ต้องคอยหาใครสักคนเป็นหลักให้เกาะตลอดชีวิต เราลืมกันไปแล้วว่า
เมื่อก่อน เราเคยยิ้มแย้ม ร่าเริง ได้ด้วยตัวคนเดียว
สมัยเป็นเด็กมีของเล่นชิ้นเดียวก็หัวเราะเยาะยิ้มเป็นวันๆ ไม่ยอมกินข้าวกินปลา เด็กบางคนไม่มีเพื่อนเล่นก็สร้างเพื่อนในจินตนาการขึ้นมาคุยจ้อคนเดียวได้ทั้งวัน ผู้เขียนอยากให้เราคิดถึงความสุขที่มาจากตัวเราก่อนที่คิดจะมีความสุขจากความรัก เพราะว่าความสุขจากความรัก
ตีกรอบได้สองประการเท่านั้นในมุมมองของของผู้เขียน คือความสุขจากการถูกรักและความสุขจากการได้รัก
การมีใครสักคนมารักเราเป็นกรณีที่น่าจะมีความสุขมากที่สุด เราใช้ชีวิตแต่ละวันผ่านไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งมีคนคอยมาห่มผ้าให้ในค่ำคืนอันเหน็บหนาว มีร่มกางให้ในวันฝนตก เรารับรู้เรื่องราวเหล่านั้นด้วยหัวใจ ค่อยตอบแทนผู้ให้ความรักด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มมาจากความสุขที่มีอยู่กับตัวเรา หากเรามีความสุขได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว รอยยิ้มที่มอบคืนให้ความรักย่อมดูเชื่อมั่นและเปี่ยมพลัง การรักใครสักคนแล้วได้ทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อคนที่เรารักโดยไม่หวังอะไรตอบแทน น่าจะเป็นกรณีที่ระทมไม่น้อย หากไม่ได้รับความรักตอบแทน แต่สำหรับคนที่มีความสุขจากการได้ความรักกลับไม่เคยเสียน้ำตา แม้ว่านานๆ ถึงจะมีรอยยิ้มตอบกลับมาสักหน ความรักในรูปแบบนี้เป็นความรักเพื่อแบ่งปัน มิใช่รักเพื่อเติมเต็มช่องว่าง หัวใจที่มีช่องว่างนั้นถมไม่เคยเต็ม ให้รักไปแล้วต้องได้ความรักและความสุขตอบแทนกลับมามากกว่าที่ให้ไป แต่หัวใจที่จะแบ่งปันกันได้ เป็นหัวใจที่เป็นสุขจนล้นปริ่มอยู่แล้ว
ดังนั้น แม้วันหนึ่งเราจะต้องโบกมืออำลาวันเวลาที่ทุ่มเทให้กับความรักที่ผลตอบแทนเป็นศูนย์ เราก็ยังยิ้มได้ด้วยใจที่เป็นสุข ก่อนจะมีความรัก ผู้เขียนอยากให้ทุกคนมีความสุขเสียก่อน ความรักเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เปราะบางและอ่อนไหว หากแสวงหาไขว่คว้าเพียงเพื่อทดแทนส่วนที่ว่างในชีวิต เราอาจทำร้ายใครสักคนเข้ามาโดยไม่รู้ตัว คนที่มีความสุขคือคนเข้มแข็ง คนแบบนั้นพร้อมจะแบ่งปันความรักและพร้อมจะถูกรัก แล้วเมื่อเราเป็นคนที่มีความสุขก่อนมีความรัก

“ความรักจะไม่ทำร้ายใคร ทำไมฉันไม่เคยมีความสุขเรื่องความรักเสียที”

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2550

สะอาดที่ใจ

สะอาดที่ใจ
งานทำความสะอาด เป็นหนึ่งในกิจวัตร หากแต่เป็นกิจวัตรประจำสัปดาห์หากใช่กิจวัตรประจำไม่
เมื่อต้องการให้อากาศถ่ายเท จึงไม่ชอบปิดบ้านมิดชิด แต่ปิดบ้างตามสภาพอากาศ
วันไหนอบอ้าวมากก็อาศัยพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศถ้ามีกำลังทรัพย์พอจ่ายค่าไฟฟ้า วันไหนลมพัดเย็นสบายก็เปิดหน้าตางรับลมธรรมชาติเต็มที่
ผลที่ได้คือ การทำความสะอาดแต่ละครั้งต้องใช่เวลานานพอสมควร เนื่องจากฝุ่นละอองที่เกาะอยู่ตามที่ต่างๆ ทำให้ไม่สามารถทำงานให้เสร็จได้ในเวลารวดเร็ว
กว่างานจะเสร็จและสมความสบายใจตนอาการ “ได้เหงื่อ” จึงเกิดขึ้นทุกครั้ง
แต่กลับกลายเป็นง่ายเหตุบังเอิญในวันนั้น ทำให้ตัดสินใจไม่สวมแว่นตาทำความสะอาดบ้านอีก
เหตุผลก็เพราะไม่ได้สายตาสั้นขนาดนั้นจนมองไม่อะไรไม่ชัด และอยากลองเอาสิ่งที่เป็นกรอบออกจากตาเราดูบ้าง
การถอดแว่นตาออก มีผลเพียงภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ชัดเจนเท่าที่ควร
เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เช็ดบ้านโดยไม่สวมแว่นตาจึงใช้เวลาน้องกว่าตอนที่สวมแว่น ผลดีต่อมาคือสามารถนำ “เวลา” ที่เป็นกำไรเพิ่งขึ้นมาไปทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เพลิดเพลินเจริญใจกว่าได้
เช่น อ่านหนังสือ หรือดูทีวี อันเป็นกิจกรรมโปรดยามว่างจากงานภายในบ้านและงานนอกบ้าน แม้บ้านจะไม่สะอาดสะอ้านเท่าเดิม แต่ก็ที่มีเวลาส่วนตัวเพิ่มมากขึ้น เพราะถึงอย่างไร ก็คงไม่สามารถสู่รบกับฝุ่นละอองให้หมดไปจากโลกนี้ได้
อีกทั้งยังไม่ใช้บ้านคนเด่นคนดังที่จะต้องมีนิตยสารมาถ่ายภาพ หรือบ้านนายกรัฐมนตรีที่ต้องมีแขกเป็นประจำ ยังคิดได้ต่อมาว่า ความสะอาดตามมาตรฐานของแต่ละคนย่อมไม่เท่ากัน หากวัดกันด้วยสายตา
ฉะนั้น วัดความสะอาดด้วย “จิตใจ” บ้างจะเป็นไร ชีวิตจึงรื่นรมย์มากขึ้นจากมาตรฐานใหม่ที่กำหนดขึ้นมาเองว่า ความสะอาดอยู่ที่ “จิตใจ”
ไม่ใช่ “สายตา”