วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ขอนไม้กับเรือ

ถ้าถามถึงเพลงฮิตติดหูอยู่ในขณะนี้คงหนีไม่พ้นเพลง “ขอนไม้กับเรือ” ร้องโดย บ่าววี แต่เพลงนี้ บิว กัลยาณี นำมาร้องแก้คือเพลง “เพียงเราสอง”
ทั้งสองเพลงนี้มีความหมายว่าความรักที่ยอมเสียสละให้กับหญิงที่ตนรักได้มีความสุขและสุขสบาย เพราะว่าตนเองนั้นไม่ได้มีฐานะมากนัก จึงเปรียบตัวเองเป็นขอนไม้ แต่ผู้ชายคนนั้นเป็นเรือที่มีความมั่งคงมากกว่าขอนไม้ แต่บิว กัลยาณี ในฐานะที่เป็นตัวแทนของผู้หญิง จึงออกมาตอบเจ้าขอนไม้ที่เธอรักว่า “ถึงแม้จะเป็นขอนไม้ น้องก็จะรักขอนไม้นั้น” เหมือนเนื้อร้องในเพลงที่ว่า

“ต่อให้เรือลำใหญ่แล่นมา ให้ผ่านเลยไปไม่เอ่ยคำขอร้องใคร
เปรียบกับพี่เป็นแค่ขอนไม้ จะไม่แลมองเรือลำไหน
โอบกอดไว้แม้คลื่นลูกใหญ่ซัดมา
เปรียบกับพี่เป็นแค่ขอนไม้ สุดแต่ลมแต่ฝนแต่ฟ้า
โปรดเมตตาสองเราไม่อยากพรากกัน”

ความรักแบบนี้เป็นความรักที่น่าประทับใจผู้เขียนยิ่งนัก จะมีสักกี่คนที่เป็นแบบคู่นี้บ้าง เห็นแต่อยู่กันไม่ได้ก็ไปหาคู่ใหม่ไปเรื่อยๆ ความรักแบบนี้อาจจะมีอยู่แต่น้อยมากในสังคมปัจจุบันนี้ที่ให้อิสระมากสำหรับเรื่องของความรัก
ผู้เขียนคิดว่าความรักแบบนี้น่าจะเป็นความรักในอุดมคติเสียมากกว่า เพราะถ้าสังคมของเราคิดแบบนี้บ้างก็คงจะไม่มีใครด้นรนอยากจะเป็นเมียเช่าของฝรั่งกัน เห็นไหมเดินไปแห่งหนตำบลไหนก็มีฝรั่งตาน้ำข้าวกันเกือบทุกที่ เพราะอะไรที่นิยมนั้นหรือ ก็เพราะว่าเห็นคนที่ได้ผัวฝรั่งแล้วมีบ้านหลังใหญ่ มีรถขับ มีทองใส่เต็มคอ ก็อยากจะมีบ้างพอผัวให้ไม่ได้อย่างนั้น เอะอะอะไรก็จะไปหาผัวฝรั่งกันหมด
เนื่องด้วยความที่ไม่อยากลำบาก ไม่อยากกัดก้อนเกลือกินอีกแล้ว จึงไปหาสิ่งที่ดีกว่า ซึ่งผิดกับหญิงสาวคนนี้ที่เลือกจะอยู่กับคนที่ตนเองรัก แม้ว่าคนที่ตนรักจะเป็นเพียงขอนไม้ก็ตามที
เพราะด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างที่ทำให้หลายคนเลือกปากท้องมากกว่าความรัก เลือกที่จะลงเรือมากกว่าลอยไปกับขอนไม้

“เปรียบกับพี่เป็นแค่ขอนไม้ ต่อให้รักเจ้ามากพียงไหน
ผุพังไป พึ่งพาก็ได้ไม่นาน”
ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ข้าวยากหมากแพงขึ้นทุกวัน ทำให้คนเราเลือกอยู่กับความสุขสบายและความมั่งคงมากกว่า และพ่อแม่เองก็คงไม่อยากเห็นลูกลำบาก จึงให้ลูกนั้นเลือกผู้ชายที่มีความมั่งคงมากกว่าที่จะมากัดก้อนเกลือกิน มันหมดยุคสมันนั้นไปแล้ว

“โดดเดี่ยวเดียวดายในท้องเล ลมพัดลมเพลอยมาไกล
เป็นแค่ขอนไม้ไม่มีทิศทาง”

สองเพลงนี้ตอบโจทย์ของคนรักกันได้อย่างลึกซึ้ง แต่มันผิดกับการปฏิบัติของคนในสมัยนี้ คงไม่มีใครจะมาทนนั่งกัดก้อนเกลือกินแล้ว ถึงมีก็อยู่กันไม่นานก็เลิกลากันไป ลูกที่เกิดมากก็เป็นเด็กกำพร้า เป็นภาระของสังคมต่อไป ถ้ามองให้ลึกๆ แล้ว มันเป็นปัญหาลูกโซกันไปหมด ทางที่ดีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็รักก็สามัคคีกันหน่อย จะได้พาประเทศก้าวหน้าไป ประชาชนในสังคมจะได้อยู่อย่างสุขสบายเสียที

จะได้อยู่กับขอนไม้ที่ตนรักมากกว่าอยู่กับเรือที่ไม่มีความรัก

ไม่มีความคิดเห็น: